ตำแหน่ง
ชู้ตติ้งการ์ด
ฉายา
Black
Mamba
ความสูง
6 ฟุต 6 นิ้ว (1.98 ม)
น้ำหนัก
216 ปอนด์ (98 กก.)
สัญชาติ
สหรัฐอเมริกา
วันเกิด
23 สิงหาคม พ.ศ. 2521
ดราฟท์
ลำดับที่ 13 ปี 1996
ช่วงปีแรกนั้น
ไบรอันท์ต้องเป็นตัวสำรองให้กับการ์ดรุ่นพี่อย่าง Eddie Jones และ Nick Van Exel ในขณะนั้น
โคบี้คือผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ (ปัจจุบันสถิตินี้โดนทำลายโดยเพื่อนร่วมทีมเลเกอร์ส
ชื่อ Andrew Bynum) และยังเป็นผู้เล่นตัวจริงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาด้วย
ในช่วงเริ่มต้นเขาอาจไม่ได้ลงเล่นมากนัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็มีโอกาสได้ลงเล่นมากขึ้น เขาจบฤดูกาลแรก (1996-97)
ด้วยเวลาลงสนามเฉลี่ย 15.5 นาทีต่อเกม สร้างชื่อจนกลายเป็นจอมเหินเวลาและขวัญใจของแฟนๆ
ด้วยการคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest ได้รับเลือกให้ติดทีมอันดับสองของ NBA All Rookies พร้อมกับเพื่อนร่วมทีม
ชื่อ Travis Knight นาทีสุดท้ายของฤดูกาลนั้นของเขาจบลงด้วยหายนะ
เมื่อชู้ตบอลพลาดแบบไม่โดนห่วง (air ball) ถึง 3 ครั้ง ในช่วงเวลาสำคัญ คือ
ลูกแรกเขาชู้ตสุดท้ายที่จะทำให้ทีมชนะพลาด ก่อนจะหมดเวลาปกติ
ทำให้เกมต้องเข้าสู่ช่วงต่อเวลา และในช่วงท้ายของการต่อเวลายังยิงสามคะแนนพลาดอีก
2 ครั้ง ทำให้ทีมเลเกอร์สต้องตกรอบแรกใน Playoffs ให้กับทีม Utah Jazz หลังการแข่งขัน
ชาคีล โอนีลเพื่อนร่วมทีมในตอนนั้น ให้ความเห็นว่า
"ไบรอันต์เป็นคนเดียวในตอนนั้นที่กล้าพอจะชู้ตลูกเหล่านั้น"
ในปีที่สองของการเล่น
โคบี้ได้โอกาสลงเล่นมากขึ้น
และเริ่มแสดงฝีมือให้เห็นว่าเขาเป็นการ์ดหนุ่มที่มีพรสวรรค์ เขาทำคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปีแรกจาก
7.6 เป็น 15.4 แต้มต่อเกม เขาได้ลงเล่นมากขึ้นเมื่อเลเกอร์สใช้แผน
"ผู้เล่นตัวเล็ก" ทำให้โคบี้รับตำแหน่งปีกตัวเล็ก (Small Forward) และได้ลงเล่นพร้อมกับการ์ดรุ่นพี่ที่เขาต้องเป็นตัวสำรองให้เป้นประจำ
แม้ว่าจะได้แค่อันดับรองและพลาดตำแหน่งผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยม (NBA's Sixth Man of The Year)ไป
แต่ด้วยความนิยมจากแฟนๆ ทำให้เขาได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา
และกลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้เป็นตัวจริงในเกมรวมดารา
NBA All-Star ปีนั้น
เพื่อนร่วมทีมของเขาคือ Shaquille O'Neal, Eddie Jones และ Nick Van Exel ก็ได้รับคะแนนเสียงจากแฟนเช่นกัน
ทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 ที่มีผู้เล่นจากทีมเดียวกันถึง 4
คนได้ร่วมทีมเดียวกันในเกมรวมดารา คะแนนเฉลี่ย 15.4
คะแนนของโคบี้ยังเป็นคะแนนสูงสุดสำหรับผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นตัวจริงของทีมในฤดูกาลปกติอีกด้วย
ในฤดูกาล
1998-99 เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นการ์ดแนวหน้าของลีกอย่างรวดเร็ว
เมื่อการ์ดตัวจริงทั้งสองคน คือ Nick Van Exel และ Eddie Jones ถูกเทรดออกไป
โคบี้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกเกมตลอด 50 เกม ในปีที่ NBA มีปัญหา lockout ระหว่างฤดูกาลนั้น
โคบี้ได้ต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 6 ปี เป็นมูลค่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งทำให้เขาได้อยู่กับทีมเลเกอร์สไปจนถึงฤดูกาล 2003-04
แม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มอาชีพการเล่นบาสเก็ตบอลได้ไม่นาน แต่สื่อกีฬาต่างๆ ก็เริ่มเปรียบเทียบความสามารถของเขากับผู้เล่นระดับโลกอย่าง
Michael Jordan และ Magic Johnson แล้ว
อย่างไรก็ตาม ใน playoffs ปีนั้น เลเกอร์สก็โดน San Antonio Spurs กวาดเรียบ 4
เกมรวดในเกมรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก
ในไม่ช้าชะตาชีวิตของไบรอันท์ก็เปลี่ยนไปเมื่อ
Phil Jackson เข้ามารับหน้าที่โค้ชให้กับทีม
ในปี 1999 หลังจากพัฒนาตัวเองมาหลายปี โคบี้กลายมาเป็นผู้เล่นตำแหน่ง Shooting Guard ชั้นแนวหน้า
ได้รับเลือกให้ติดทีม All-NBA, All-Star และ All-Defensive ปีนี้
ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส กลายมาเป็นทีมเต็งที่จะได้แชมป์ ภายใต้การนำทีมของ โคบี้ ไบรอันท์
และ ชาคีล โอนีล ที่ผสมผสานการเล่นของเซ็นเตอร์กับการ์ดได้อย่างยอดเยี่ยม
และด้วยแผนการบุกแบบสามเหลี่ยม (Triangle Offense) ซึ่ง ฟิล แจ็กสัน เคยใช้พาทีม Chicago Bulls คว้าแชมป์ไปแล้วถึง
6 สมัย ก็ทำให้ทั้งสามคนพาทีม เลเกอร์สได้แชมป์ NBA ถึง 3 ปีซ้อน ในปี 2000, 2001 และ 2002
ในฤดูกาล
1999-2000 โคบี้เริ่มต้น ด้วยการพลาดการลงสนามถึง 6
สัปดาห์เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่มือ ในเกมอุ่นเครื่องก่อนเริ่มฤดูกาลที่แข่งกับทีม
Washington Wizards เมื่อเขากลับมาลงสนามได้
เขาลงเล่นมากกว่า 38 นาทีต่อเกม และทำผลงานเฉลี่ยต่อเกมสูงขึ้น
รวมถึงการเป็นผู้เล่นที่ทำ แอสซิสต์และสตีล สูงสุดของทีมด้วย
คู่หูโอนีลกับไบรอันท์พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทีมที่แข็งแกร่งพาทีมชนะถึง 67 เกม
เป็นสถิติการชนะสูงสุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาตร์ NBA โอนีลได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาลปกติ
และโคบี้ได้รับเลือกให้ติดทีมผู้เล่นยอดเยี่ยมอันดับสอง (All-NBA Second Team) และ
ทีมรับยอดเยี่ยม (All Defensive Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต (เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกติดทีมรับยอดเยี่ยม)
ขณะที่ต้องรับบทพระรองของทีมในรอบเพลย์ออฟ ไบรอันต์ก็มีผลงานที่โดดเด่น
รวมถึงการทำ 25 คะแนน 11 รีบาวน์ 7 แอสซิสต์ และ 4 บล็อก ในเกม 7
ของรอบชิงชนะเลิศฝั่งตะวันตก ที่เลเกอร์ส เจอกับ Portland Trail Blazers เขายังเป็นคนส่งบอลทำ
alley-oop ให้กับโอนีลทำให้ทีมชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วย
ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับทีม Indiana Pacers ไบรอันต์ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าใชช่วงควอเตอร์ที่
2 ของเกมที่ 2 ต้องออกจากการแข่งขัน และไม่ได้ลงเล่นในเกมที่ 3
เมื่อเขากลับมาลงเล่นในเกมที่ 4 ไบรอันต์ทำคะแนนไป 22 คะแนนในครึ่งหลัง
เขาต้องขึ้นเป็นผู้นำทีมเมื่อ โอนีล ทำ ฟาวล์เอ้าท์ ต้องออกจากการแข่งขัน
ในช่วงท้ายของการต่อเวลา โคบี้ชู้ตทำคะแนนสุดท้ายให้ทีมขึ้นนำ 120-118
และด้วยชัยชนะในเกมที่ 6
ทำให้เลเกอร์สได้กลับมาครองแชมป์อีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1988
ถ้าดูตามสถิติแล้ว
ในฤดูกาล 2000-01 โคบี้ทำผลงานได้แทบไม่ต่างกับฤดูกาลก่อนหน้า นอกจากทำคะแนนเฉลี่ยได้มากขึ้นถึง
6 คะแนนต่อเกม (28.5) เป็นอีกปีนึงที่เขาทำแอสซิสต์สูงสุดในทีม
ปีนี้ยังเป็นปีที่ความไม่ลงรอยกันระหว่างโอนีลกับไบรอันต์เริ่มที่จะเปิดเผยมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเลเกอร์สก็ยังชนะได้ถึง 56 เกม แม้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว 11 เกม
และทำสถิติในรอบเพลย์ออฟด้วยการชนะ 15 แพ้ 1 ด้วยการกวาด Portland Trail Blazers, Sacramento
Kings และ San Antonio Spurs ก่อนที่จะแพ้เกมแรกในรอบชิงชนะเลิศ
กับ Philadephia 76ers ในช่วงต่อเวลา
แล้วกลับมาชนะ 4 เกมรวดคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ไบรอันต์ได้ลงสนามมากกว่าเดิมในช่วงเพลย์ออฟและทำให้ผลงานเฉลี่ยของเขาเพิ่มขึ้นเป็น
29.4 คะแนน 7.3 รีบาวน์ 6.1 แอสซิสต์ต่อเกม และในช่วงเพลย์ออฟนั้นเอง แชคีล โอนีล
เพื่อนร่วมทีมประกาศว่า โคบี้คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในเอ็นบีเอ
ไบรอันต์ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมอันดับสอง (All-NBA Second Team) และ ทีมรับยอดเยี่ยม
(NBA All Defensive Team) เป็นปีที่สองติดต่อกัน
และยังได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา (NBA All-Star) เป็นผู้เล่นตัวจริง
เป็นปีที่สามติดต่อกันด้วย (เว้นปี 1999 ที่ไม่มีการแข่งขัน All-Star)
ในฤดูกาล
2001-02 โคบี้ลงสนามในฤดูกาลปกติถึง 80 เกมเป็นครั้งแรกในอาชีพการเล่น
เขายังคงทำผลงานเฉลี่ยต่อเกม 25.2 คะแนน 5.5 รีบาวน์ 5.5 แอสซิสต์
ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงที่สุดในทีมอีกครั้งนึง
เขาสถิติที่ดีที่สุดในอาชีพการเล่นด้วยการชู้ตที่แม่นยำถึง 46.9%
ได้รับเลือกให้ติด ทีมรวมดารา และ ทีมรับยอดเยี่ยม อีกครั้ง และได้รับเลือกให้ติด
ทีมยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง (All-NBA First Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต เลเกอร์สชนะ 58 เกม
เป็นอันดับสองของฝั่งตะวันตก รองจากคู่แข่งร่วมรัฐ คือ ซาคราเมนโต้ คิงส์
ถนนในรอบเพลย์ออฟไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบสำหรับเลเกอร์สเหมือนปีที่ผ่านมา
แม้พวกเขาจะกวาด พอร์ตแลนด์ในรอบแรก เอาชนะ สเปอร์ส 4-1 เกม แต่พวกเขาเสียเปรียบ
ซาคราเมนโต้ เนื่องจากทำอันดับได้แกว่าตอนฤดูกาลปกติ และต้องกลับไปเล่นที่บ้านของ
ซาคราเมนโต้ ในเกมสุดท้าย เพราะการแข่งขันยื้ดเยื้อไปถึงเกมที่ 7
เป็นครั้งแรกที่เลเกอร์สต้องแข่งถึงเกมสุดท้ายแบบนี้ในรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก
นับตั้งแต่ปี 2000 อย่างไรก็ตาม
เลเกอร์สก็สามารถเอาชนะและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ในรอบชิงชนะเลิศ ไบรอันท์ ทำคะแนนเฉลี่ย 26.8 แต้ม ด้วยเปอร์เซนต์การชู้ต 51.4%
รีบาวน์ 5.8 ครั้ง และแอสซิสต์ 5.3 ครั้งต่อเกม รวมถึงทำคะแนนรวมเท่ากับ 1 ใน 4
ของคะแนนรวมของทีม ด้วยวัยเพียง 23 ปี
เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ NBA 3 สมัย
การเล่นของเขาเป็นที่จดจำและยกย่องในการเล่นช่วงควอร์เตอร์ที่ 4 ของเกม
โดยเฉพาะในสองรอบสุดท้ายของเพลย์ออฟ ทำให้เขามีชื่อในการเป็นผู้เล่นที่ทีมพึ่งพาได้ในช่วงเวลาสำคัญ
ผลงานในการแข่งขันบาสเกตบอล
- คว้าแชมป์ nestle crunch slam dunk
- เป็นผู้เล่นที่ทำแต้มมากสุดโดยทำในเกมส์เดียวอันดับสองคือ
81 แต้ม รองจาก Wilt Chamberlain ซึ่งทำได้ 100 แต้ม
- ติด NBA all star ทั้งหมด 11
ครั้ง
- เป็นแชมป์ NBA 4ครั้ง ปี 2000 2001 2002 2009,
- เป็น MVP final 2009
- MVP
2008
- NBA
scoring champion สองครั้ง 2006 2007
- All
NBA first team 7ครั้ง ปี 2002-2004 2006-2009
- All
NBA second team 2ครั้ง ปี 2000 2001
- All
NBA third team 2ครั้ง ปี 1999 2005
- All
defensive first team 7ครั้ง ปี 2000 2003-2004 2006-2009
- All
defensive second team 2ครั้ง ปี 2001 2002
- NBA
all rookie second team 1997
- NBA
all star game MVP 3ครั้ง ปี 2002 2007,2009
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น